
ปฐมบท แห่ง เมืองชีวิต
กลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 หลายคนคงมีโอกาสได้ไปเที่ยวงานมหกรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นภาคเหนือตอนบนซึ่งจัดขึ้นในเมืองเชียงใหม่ งานนี้เป็นการร่วมเมืองกันระหว่างหน่วยงานของรัฐหลายๆแห่ง ทั้งที่มาจากส่วนกลาง และภายในจังหวัดเชียงใหม่เอง ในงานมีพิพิธภัณฑ์กว่า 60 แห่งที่ขนของมาจัดแสดงให้ชมกันอย่างเต็มที่(และถึงที่)เรียกได้ว่าผู้มาชมสามารถเที่ยวชมแบบชะโงกทัวร์ ทั่วถึงพิพิธภัณฑ์ในภาคเหนือได้ในที่เดียว
นอกจากสิ่งของแล้วยังมีการแสดงศิลปะการละเล่นดนตรีของภาคเหนือด้วย สิ่งของที่นำมาจัดแสดงสามารถขนย้ายไปแสดงที่ไหน หรือเมื่อใดก็ได้ เหมือนปกติของพิพิธภัณฑ์โดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรี และการละเล่นพื้อนถิ่นต่างๆที่จัดขึ้น และมักพบเห็นได้เสมอตามเทศกาลต่างๆ ซึ่งสิ่งสำคัญของการแสดงเหล่านี้ คือ การจัดวาง จัดระเบียบของสิ่งของ และการแสดงเพื่อสื่อสารกับผู้ชมจำนวนมากในบริบทใหม่ ที่แตกต่างจากบริบทดั้งเดิมของสิ่งที่นำมาจัดแสดง หรือในสภาพแวดล้อมที่พยายามลอกเลียนให้ใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิม
แต่….จะดีแค่ใหน ถ้าเราสามารถพบเห็นสิ่งที่จัดแสดงที่กล่าวมาในสถานที่จริง ที่สิ่งเหล่านั้นเคยดำรงอยู่ เพราะการดูสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ ว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากการดูช้าง ม้า ยีราฟ ที่อยู่ในสวนสัตว์ ไม่เหมือนกับไปดูพวกมันอยู่ในป่าจริงๆหรือการชมปลาทะเลในตู้กระจก ก็ต่างจากการแหวกว่ายดำลงไปดูพวกมันในท้องทะเลเบื้องล่างอย่างเทียบไม่ได้
ไม่ต้องบอกก็พอเดาถูกว่า ทุกคนคงเลือกอย่างหลัง เพราะอยากเห็นสิ่งนั้นในสภาพที่มันดำรงอยู่ ณ ต่ำแหน่ง ที่ตั่งของมันแต่ดั้งเดิมจริงๆซึ่งไม่ต่างจากแนวคิดในการพัฒนาและฟื้นฟูเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมืองที่ยังมีทรัพยากรทางศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือวัฒนธรรมประเพณีหลงเหลืออยู่อย่างพอเพียง แทนที่จะจับเอาสิ่งเหล่านั้นไปจำลอง หรือแช่แข็งจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ประจำแมือง หรือพิพิธภัณฑ์ชุมชน หากกลับเปลี่ยนให้เมืองทั้งเมืองที่ยังคงมีวิถีชีวิตประจำวันปกติของผู้คนดำเนินไปเองทางกลางทรัพยากรทางศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือวัฒนธรรม ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณให้เป็นพิพิธภัณฑ์โดยตัวของมันเอง ก็เสมือนเราเข้าไปในโลกจำลองของพิพิธภัณฑ์ แต่คราวนี้ไม่ต้องจำลองมาหากแต่เป็นปกติวิธีของเมืองนั้นๆที่ยังมีเสน่ห์มากพอที่จะเรียกพื้นที่เมืองทั้งเมืองของตนเองว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ น่าเสียดายที่เมืองเชียงใหม่เองก็มีลักษณะที่กล่าวถึงข้างต้น แต่อาจปรากฎเพียงบางส่วนบางช่วงเวลาของวัน หรือของปี บนพื้นที่เพียงหย่อมเล็กๆ(เช่น ย่านวัดเกตุ หรือ ย่านวัวลาย เป็นต้น)เมื่อเทียบกับขนาดเมืองทั้งหมดทำให้เมืองเชียงใหม่มีความเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตเบาบางเต็มทีถ้าดูในภาพรวม

ไม่เป็นไร…..
เราพลาดหวังกับเมืองใหญ่
แบบเชียงใหม่ไปแล้ว
แต่ยังมีเมืองขนาดกะทัดรัด
ที่ถูกล้อมรอบด้วยหุบเขา
ห้อมล้อมด้วยวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เด่นมากๆ อย่างเมืองแม่ฮ่องสอนซึ่งคนที่นั่นกำลังช่วยกันผลักดันตัวเองอย่างเป็นระบบ ให้เมืองทั้งเมืองเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต เป็นเมืองที่ทุกคนมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ โดยไม่จำเป็นว่าต้องรอให้ถึงช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็นสบาย หรือรอดูประเพณีปอยส่างลองในช่วงเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม หรือช่วงเทศกาลดอกบัวตองบานในเดือนพฤศจิกายน เพราะเมืองนี้มีสิ่งจัดแสดงให้ผู้มาเยือนชมได้ตลอด 365วัน
โดยสิ่งที่จัดแสดงที่ว่าก็ คือสิ่งที่ทุกคนที่นี่กระทำอยู่เป็นปกติวิถีของผู้คนที่อยู่ในเมือง และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในพื้นที่มาแต่ดั้งเดิม ดังนั่นจึงไม่ต้องตระเตรียมอะไรเพื่อการแสดงในทุกๆวัน แค่ดำเนินชีวิตที่เป็นปกติในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว
ตั่งแต่ การกินอยู่ การแต่งกาย การใช้ภาษา การละเล่น การแสดง การประกอบพิธีตามประเพณีต่างๆให้ดำรงอยู่ต่อไปด้วยความประณีตอย่างคงเอกลักษณ์ และเป็นระบบระเบียบ ปรับปรุงและจัดการกับวัตถุสิ่งของ สถานที่ ที่เป็นเอกลักษณ์ที่มีอยู่แล้วให้อยู่ในสภาพดีแบบดั้งเดิม หรือถ้าจะปรับปรุงใหม่ก็ต้องไม่ไปใส่อะไรที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมและสภาะแวดล้อมโดยรวมแบบเดิม เท่านี้….แม่ฮ่องสอนทั้งเมืองก็สามารถเป็นพิพิธภัณฑ์ในตัวเองได้แล้วอย่างสมบูรณ์
ฟังดูแล้วเหมือนง่าย แค่เมืองไหน มีทรัพยากรทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้มากเพียงพอ ก็น่าจะเป็นเมืองที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตได้ทั้งหมด ซึ่งอาจจะไม่ผิด แต่ถ้าเป็นเช่นนั่นจริงๆ เราคงเห็นเมืองที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตเต็มไปหมดในประเทศไทยของเรา แต่ต้องไม่ลืมว่า การจัดการกับสิ่งมีชีวิต จิตใจ ยากกว่าสิ่งที่หมดลมหายใจไปแล้ว การที่จะจูงใจหรือบังคับผู้คนให้ดำเนินชีวิตที่เป็นปกติในทุกๆวัน แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นเอาไว้ให้ได้ เช่น ให้แต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า หรือประจำชาติ กินอาหารพื้นถิ่น พูดภาษาถิ่น ไม่พูดภาษากลาง เป็นเรื่องของความสมัครใจ และการตระหนักส่วนบุคคลมากกว่าที่จะมาบังคับกัน ใช่เดียวกับสิ่งของเครื่องใช่อาคารบ้านเรือนพื้นถิ่น หรือวัดเก่าแก่ ต่างก็แตกต่างด้วยลักษณะการครอบครองจากผู้เป็นเจ้าของรวมทั้งการให้ความสำคัญทางศิลปะ วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมแก่สิ่งนั้นๆจากผู้เป็นเจ้าของเองและผู้คนในเมืองนั้นๆ การที่จะทำให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้เท่ากันไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของ หรือไม่ว่าจะเป็นสมบัติของคนเชื้อชาติใด ศาสนาใด หรือฝ่ายการเมืองใดเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา และความพยายามในการสร้างความเข้าใจ รวมถึงการบริหารจัดการ ที่จะต้องผลักดัน ส่งเสริมให้ความเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง โดยยังคงความพอเหมาะพอดีไม่เสกสรรปั้นแต่งทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อเน้นการท่องเที่ยวมากจนเกินไป จนทำลายสภาพของสิ่งของให้เป็นการแสดง หรือ ประดิษฐ์เพื่อโชว์นักท่องเที่ยว เหมือนเมืองท่องเที่ยวอื่นๆทั่วไป (เช่น เมืองปาย เป็นต้น)


สำหรับเมืองแม่ฮ่องสอน นับว่าเป็นความพยายามแรกในภาคเหนือ ที่มีการส่งเสริมผลักดันเมืองทั้งเมืองให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตอย่างจิงจังจากความร่วมมือของหลายๆหน่วยงานทั้งจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และชาวเมืองแม่ฮ่องสอน โดยเน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการดำเนินชีวิตเป็นปกติ เพราะนั่น คือ สิ่งที่พิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งนี้กำลังจัดแสดงอยู่
เมืองแม่ฮ่องสอนนั่นถือว่าโชคดีที่มีทุนทางวัฒนธรรมสูง มีขุนเขาที่โอบล้อม ทำให้การมาถึงของวัฒนธรรมจากภายนอกช้ากว่าที่อื่นๆ การดำรงชีวิตของผู้คน และทรัพยากรทางศิลปะวัฒนธรรมแต่ดั้งเดิมของเมืองจึงหลงเหลือยุมาก
โดยเฉพาะยังรับเอาอิทธิพลจากการท่องเที่ยวน้อยกว่าเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ การผลักดันให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตจึงมีความเป็นไปได้สูง และด้วยระบบสภาน้ำเมี่ยง อันเป็นวงประชุมเสวนาของผู้อาวุโสของเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้มาช้านานและได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเมืองทั้งดีและไม่ดีมาโดยตลอด คอยทำหน้าที่ให้คำแนะนำและปรึกษาแก่หน่วยงานภาครัฐ โดยทำงานควบคู่กันไปอย่างแนบแน่น
นอกจากความพยายามของเมืองแม่ฮ่องสอนแล้ว ในเมืองอื่นๆ เช่น เมืองขุนยวม คนที่นั่นก็เริ่มมีการขับเคลื่ยน

การพัฒนาเมืองในลักษณะเดียวกัน โดยเริ่มจากการสร้างภูมิทัศน์เมืองเป็นอันดับแรกเนื่องจากเมืองขุนยวมมีทางสัญจรหลักเป็นทางหลวงแผ่นดินวิ่งผ่านกลางเมืองเพียงเส้นเดียวแต่สองข้างทางยังมีทรัพยากรทางวัฒนธรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม และธรรมชาติ กระจายตัวอยู่ตลอดเส้นทางที่เป็นเนินเขาขึ้นลง ซึ่งก็มีมากพอที่จะสร้างภูมิทัศน์เมืองให้เกิดขึ้นได้
ตัวอย่างเมืองเก่าหลายเมืองในเอเชีย ยังคงความเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตเอาไว้ได้เพราะมีการบริหารจัดการทรัพยากรทางวัฒธรรมที่ตอบรับกับการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบจึงเชื่อว่าอีกไม่นาน เมืองแม่ฮ่องสอนก็คงเป็นหนึ่งในนั่นเช่นกัน
และเมื่อถึงตอนนั่น คงไม่มีใครบอกว่า อยากไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนเฉพาะแค่ช่วงฤดูหนาวอีกต่อไป